พระหลวงพ่อทวด วัดช้างไห้ ปี 2497 เนื้อว่าน พิมพ์พระรอด
พระหลวงพ่อทวด วัดช้างไห้ ปี 2497 เนื้อว่าน พิมพ์ใหญ่ A
มวลสารของพระหลวงพ่อทวด เนื้อว่าน ๒๔๙๗ ไม่ว่าจะแก่ดิน หรือแก่ว่าน มีมวลสารประกอบที่เห็นได้ชัดเจนทุกองค์ ว่าจะต้องประกอบไปด้วย เม็ดดำ เม็ดแดง(สีอิฐเผา) และเม็ดขาว (เอาแค่บทเรียนที่หนึ่งไปก่อนดูให้ขึ้นใจ เพราะฉะนั้นหากพระฯของท่านไม่มีส่วนประกอบนี้ก็แสดงว่าไม่ใช่ของปี ๒๔๙๗ แน่นอนครับท่าน ดูเอาเองนะครับ และไม่ต้องมาถามผม ท่านสามารถดูเองได้ครับท่าน)
มวลสารที่ปรากฏในองค์พระหลวงพ่อทวดเนื้อว่าน 2497
มวลสารที่ปรากฏในองค์พระหลวงพ่อทวดเนื้อว่าน 2497
มวลสารที่ปรากฏในองค์พระหลวงพ่อทวดเนื้อว่าน 2497
มวลสารที่ปรากฏในองค์พระหลวงพ่อทวดเนื้อว่าน 2497
บทเรียนที่สอง
เม็ดแร่ที่มีมากๆอยู่ด้านหลังพระหลวงพ่อทวดเนื้อว่าน ปี๒๔๙๗ หรือที่มีประปรายอยู่ด้านหน้าพระฯนั้น เป็นแร่ที่ท่านคหบดี อนันต์ คณานุรักษ์ นำมาจากเหมืองของท่าน เนื่องจากในขณะนั้นท่านประกอบธุรกิจด้านเหมืองแร่ด้วย ท่านเรียกแร่นี้ว่า “กิมเซียว” หากพิจารณาคำว่า “กิมเซียว” เป็นคำภาษาจีน แปลว่า ทองน้อย หรือทองอ่อน เมื่อมาพิจารณาสีของเม็ดแร่ ก็ปรากฏว่ามีสีทองอ่อนๆ ดังนั้นน่าจะสันนิษฐานว่า ท่านคหบดี อนันต์ คณานุรักษ์ คงจะตั้งชื่อแร่นี้เป็นภาษาจีนตามสีสันของแร่ที่ท่านเห็น เมื่อผมมาพิจารณาเม็ดแร่ที่มีในองค์พระหลวงพ่อทวด เนื้อว่าน ๒๔๙๗ ปรากฏว่ามีสีเหลืองอ่อนๆ แบบสีของทอง หากส่องล้อแสง เม็ดแร่ดังกล่าวจะสะท้อนแสง มองเห็นเป็นแบบสีของเหล็กโครเมียม
เม็ดแร่เมื่อโดนแสงสะท้อน ดูเหมือนโครเมียม
ขอเกริ่นนิยายให้ฟังสักเรื่องสองเรื่อง สมัยก่อนนิยมสะสมพระหลวงพ่อทวดเนื้อว่านกันมากๆ พอนักสะสมเก็บพระฯไปจนเกือบหมดแล้ว เริ่มหาพระเนื้อว่านยากมากขึ้น ทำให้ผู้มีอาชีพซื้อ-ขายพระ หาเงินได้ลำบากมากขึ้น ต้องกินต้องใช้ทุกวัน หากให้หาพระฯเนื้อว่านมาขาย คงจะต้องอดตายกันแน่ๆ จึงเกิดการชักนำให้มาเล่นพระที่ยังมีมากอยู่ในตอนนั้น ซึ่งก็คือพระฯหลังเตารีดหล่อและปั๊มซ้ำ จึงได้มาพูดว่า พระเนื้อว่านดูยาก เก็บรักษาก็ลำบาก ทีเมื่อก่อนนำพระเนื้อว่านมาขายไม่เห็นพูดแบบนี้ แล้วพระสมเด็จฯไม่เก็บรักษายากกว่าหรือ บางก็บางกว่า ตกก็แตกหักง่ายกว่า แล้วทำไมจึงแพงเอาแพงเอา ท่านทั้งหลายคิดถึงกรณีนี้หรือไม่
พอพระฯหลังเตารีดหล่อโบราณและพระปั๊มซ้ำสวยๆเริ่มหายากขึ้น ก็มีการชักนำให้เล่นพระมีตำหนิให้แพงขึ้นกรณี พระฯเตารีดใหญ่ปั๊มซ้ำ แตกที่หน้า ว่าแท้ดูง่ายเล่นราคาสูงเป็นแสนๆ แสดงว่าที่ขายไปเมื่อก่อนพระสวยๆกลายเป็นพระดูยากขึ้นมาแล้วซิ แต่มีใครตอบผมได้บ้าง ว่าประเทศไหนบ้างบนโลกใบกลมๆนี้ ที่คนสวยหรือคนหล่อเป็นคนที่มีเนื้องอกเนื้อเกินที่หน้าผาก ผ่านจมูกปากคางลงมาหรือจมูกแหว่งปากแหว่ง ไม่เห็นมีใครตอบผมได้สักคนว่ามีประเทศไหนบ้าง มีคนสวยหรือคนหล่อที่มีลักษณะอย่างนั้นแสดงว่า พระสวยๆไม่มีตำหนิต้องราคาสูงกว่าใช่หรือไม่ นี่ก็เป็นอีกกรณีหนึ่งหรือไม่ที่ชักนำไปในทางที่ผิด อ้อขอโทษไม่ได้ผิด แต่เซียนบอกมาไม่หมด แล้วพวกเราก็ไม่ได้ถามนะ ดังนั้นว่าเซียนหรือคนขายพระฯไม่ได้นะ
หากคิดย้อนกลับไปดูคำพูดสมัยก่อน กับคำพูดสมัยนี้ สะท้อนกลับเข้าหาตัวเองทั้งนั้น พูดโดยไม่ได้คิดว่าในอดีตตัวเองพูดไว้อย่างไร ตอนนี้พูดเพื่อให้ขายพระฯที่ตัวเองต้องการขายให้ได้เท่านั้น ลืมนึกไปว่าคำพูดนั้นจะไปหักล้างคำพูดของตนเองในอดีต ยิ่งพูดยิ่งทำลายความน่าเชื่อถือของตัวเอง
พวกเรานักนิยมสะสมพระเครื่องฯ หากเล่นเก็บสะสมพระฯตามที่เซียนชักนำ มีเงินร้อยล้าน หมื่นล้านก็ไม่พอให้เช่าพระฯตามที่เขาเล่าว่าหรือเขาบอกว่า ดังนั้นผมถึงบอกว่าเล่นพระฯให้เชื่อตัวเองเป็นหลัก อย่าไปเชื่อคนขายพระหรือคนอื่น เวลาเช่าพระฯเราเท่านั้นที่ออกเงิน คนอื่นไม่ได้มาช่วยออกเงินให้เราด้วยแล้วเรายังจะเชื่อเขาอีกหรือ
การเล่นพระนั้นมีเสน่ห์ตรงที่รู้หรือไม่รู้ และที่ว่ารู้นั้นก็ สามารถแยกออกมาอีกว่ารู้จริงมากน้อยแค่ไหน หากเป็นคนที่กล้าถาม ว่าพระที่เขาว่าแท้นั้นแท้แบบไหน เขาต้องบอกได้ว่าถ้าแท้นั้นมีเหตุผลอะไรที่ว่าแท้ เพราะคนดูพระฯเขาจะประมวลจากความรู้ของเขามาอย่างรอบด้านแล้ว ถึงลงความเห็นว่า พระฯองค์นี้แท้หรือเก๊ หากอธิบายไม่ได้จะรู้ทันทีว่ารู้ไม่จริง(ตัวปลอม) หากเก๊ก็ต้องบอกได้เหมือนกันมีเหตุผลอะไรรองรับ
ต้องขอออกตัวก่อนนะครับ ว่า ผมไม่ได้บอกว่าผมเก่งนะครับ ผมก็งูๆปลาๆ เพียงแค่บอกแนวคิดในการเก็บสะสมพระเครื่องฯของผมเท่านั้น ผมเองก็โดนมาแล้วทั้งนั้นทุกรูปแบบ จึงไม่อยากให้คนอื่นโดนด้วย อาจจะมีคนที่เก่งที่ไม่เคยโดนมาเลยก็ได้ แต่โดยส่วนมากจะโดนกันเกือบทุกคน อย่างกรณีที่เป็นเรื่องเป็นราวกันในกรณีพระแท้-พระเก๊ในหน้ากระดานประมูลพระฯนั้น ในกรณีนี้ทำให้ทราบทันทีและชัดเจนว่า ใครดูพระเป็นหรือไม่เป็น
สะสมพระฯไม่ใช่แค่ส่องดูอย่างเดียวครับ ต้องศึกษาว่าเขาสร้างจำนวนเท่าไหร่ สร้างด้วยเนื้อมวลสารอะไร วิธีสร้างเป็นแบบไหน อุปกรณ์ในการสร้างมีอะไรบ้าง เพราะทุกสิ่งที่พูดมานั้น สามารถบอกความเป็นมาเป็นไปของพระฯที่เราส่องดูที่เขาเรียกว่าธรรมชาติพระ นั่นก็คือเบสิค พื้นฐานในการสะสมพระเครื่อง หากจะดูพระฯให้ขาดจริงๆแล้วเราจะต้องศึกษาว่าพระแท้เขาสร้างกันอย่างไร มีขั้นตอนอะไรบ้าง และก็ต้องรู้ด้วยว่าเขาทำพระฯเก๊กันอย่างไร เพื่อจะได้เปรียบเทียบและสรุปได้ว่า “พระฯแท้และเก๊ แตกต่างกันอย่างไร” หากเราไม่รู้ทั้ง 2 แบบ แล้วเราจะบอกได้เต็มปากอย่างไรว่า เราดูพระฯเป็น
การดูพระฯ ไม่ใช่ว่าดูแค่พระองค์นั้นแท้หรือเก๊ ต้องถามตัวเองด้วยว่า ถ้าพระฯนี้แท้ ต้องดูให้ออกว่ามีเหตุผลกี่ข้อรองรับว่าเป็นพระฯแท้ ในทำนองเดียวกันถ้าหากว่าเก๊ ต้องหาให้ได้ว่าว่าเก๊แบบไหนมีเหตุผลอะไร เป็นการเล่นพระฯอาศัยเหตุผลเป็นหลัก นี่ก็คือการเล่นพระแบบเล่นไปคิดไปเป็นการประเทืองปัญญาทำให้เราทราบข้อมูลเพิ่มขึ้น หากเราไม่มีอะไรใหม่ๆเราก็เล่นพระตามก้นคนอื่นตลอดชาติ
ขอขอบคุณ : ข้อมูลดีๆ และภาพสวยๆ จาก คุณ แพะ สงขลา